Big Data เป็นตัวกำหนดทิศทางของการปฏิรูปการเกษตร

Big Data เป็นตัวกำหนดทิศทางของการปฏิรูปการเกษตร

ในโลกที่เต็มไปด้วยผู้คนเกือบ 7.5 พันล้านคนเพื่อเลี้ยงตัวเอง มีการให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีและการเติบโตของเศรษฐกิจมากขึ้น Big Data กำลังช่วยเหลือและเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมจำนวนมากและเปลี่ยนภาคส่วนต่างๆด้วยการพัฒนาที่โดดเด่น

ประมาณ 100 ปีที่แล้วอุตสาหกรรมเริ่มต้นขึ้น แต่การใช้ประโยชน์จากดิจิตอลในอุตสาหกรรมต่างๆ เราได้เห็นในยุคนี้ โดยเฉพาะการใช้ดิจิตอลได้ปรับปรุงโฉมหน้าของการเกษตรกรรม

อีกทั้งมีการนำเทคโนโลยีโดรนและหุ่นยนต์เข้ามาปรับเปลี่ยนการผลิตในภาคการเกษตร

ทำไมภาคการเกษตรถึงต้องการ Big Data

นักวิจัยคาดการณ์ว่าภายในปี 2050 ประชากรโลกจะถึง 10 พันล้านคน นี่หมายความว่าการบริโภคอาหารจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าเพื่อตอบสนองความต้องการประชากรจำนวนมาก

เกือบ 40% ของพื้นผิวโลกถูกใช้เพื่อการเกษตรแล้ว และน่าเสียใจที่การผลิตจำนวนมากต้องสูญเปล่าไปตลอดกระบวนการ จึงต้องนำ Big Data มาช่วยในภารเกษตรให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

Big Data ช่วยเหลือในทุกปัญหาและความซับซ้อนในการเกษตร และมีบทบาทสำคัญในการสร้างระบบการเกษตรที่ก้าวหน้าและชาญฉลาด 

ขอบคุณภาพประกอบจาก Data Flair

ด้วยความช่วยเหลือของการวิเคราะห์ Big Data และการคาดการณ์ที่จะมาจากสภาพภูมิอากาศของปีที่แล้ว, สารอาหารของดิน, ปริมาณน้ำฝน ฯลฯ การตัดสินใจที่ชาญฉลาดเหล่านี้ด้วย Big Data ช่วยให้ได้ผลผลิตสูงสุดและช่วยให้ภาคเศรษฐกิจเติบโตสำหรับการผลิตอาหาร

Big Data ในภาคการเกษตร

ต่อไปนี้คือวิธีที่ Big Data ช่วยเหลือภาคเกษตรกรรม

1. การติดตามแนวโน้มธรรมชาติ

ก่อนที่จะมี Big Data เป็นไปไม่ได้ที่จะคาดการณ์ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ เช่น โรคพืช, ศัตรูพืช และภัยธรรมชาติ เช่น พายุหรือสภาพอากาศที่รุนแรงซึ่งสามารถทำลายผลผลิตทั้งหมดได้ เกษตรกรที่มีประสบการณ์สามารถสังเกตสัญญาณของปัจจัยเหล่านี้ได้ แต่ก็มักจะสายเกินไป

การป้อนข้อมูลในอดีตและปัจจุบันเข้าสู่ระบบและการดึงข้อมูลเชิงลึกผ่าน Data Science และอัลกอริทึมที่ถูกต้องสามารถเพิ่มผลตอบแทนในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ สิ่งนี้ช่วยประหยัดเกษตรกรจากการสูญเสียมากมาย

2. การทำนายผลผลิตที่แม่นยำ

การหว่านเมล็ดพืชและรอให้พืชเติบโตและดูว่าพืชผลจะออกมาเป็นอย่างไรเป็นกระบวนการที่ยาวนาน ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา Big Data ช่วยการคาดการณ์ที่แม่นยำให้ความช่วยเหลือโดยการคาดการณ์ผลผลิตอย่างแม่นยำโดยไม่ต้องเพาะเมล็ด

ขอบคุณภาพประกอบจาก MORIOH

อัลกอริทึมที่แม่นยำใช้ในการวิเคราะห์สภาพอากาศและชุดข้อมูลของพืชผลในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ช่วยการคาดการณ์พืชผลที่ดีที่สุดในปีนี้

3. ระบบอัตโนมัติทางการเกษตร

เนื่องจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและ Big Data เครื่องมืออัตโนมัติ เช่น บอทฟาร์ม, สปริงเกอร์, ปั๊มน้ำพลังงานแสงอาทิตย์ และระบบน้ำหยดจึงเกิดขึ้น

โดรนจะต้องติดตั้งเซ็นเซอร์ขั้นสูงเพื่ออับเดตข้อมูล, ตรวจสอบพืชผล, แจ้งพื้นที่ที่จำเป็นสำหรับการปรับปรุง หุ่นยนต์ถูกใช้ในหลายพื้นที่ของโลกในการปลูกเมล็ดข้าวโพดและเก็บวัชพืชที่ทำให้พืชผลหลักเสียหาย

4. อุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล

อีกด้านที่ดีของ Big Data คือการเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มภายนอกสำหรับข้อมูลและข้อมูลเชิงลึกจำนวนมาก เกษตรกรสามารถใช้เทคนิคการวิเคราะห์เชิงคาดการณ์เพื่อวางแผนและดำเนินการตามรูปแบบสภาพอากาศ, ความต้องการของผู้บริโภค และแนวโน้มทางธรรมชาติ

ข้อมูลนี้จะช่วยให้พวกเขาเข้าใจว่าโลกรอบตัวมีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการเกษตรอย่างไร สิ่งเหล่านี้สร้างความต้องการในอุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลซึ่งดำเนินการในรูปแบบใหม่และสร้างสรรค์เพื่อให้มีที่ว่างสำหรับโซลูชันที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล

5. การประเมินความเสี่ยง

จนถึงขณะนี้ยังไม่มีการประเมินความเสี่ยงในภาคเกษตร แต่ด้วย Big Data เกือบทุกระบบทั้งการตัดสินใจหรือเหตุการณ์ สามารถนำมาพิจารณาในแผนการวิเคราะห์ความเสี่ยง

ทุกปัญหาสามารถนำมาพิจารณาไม่เพียงวิธีแก้ปัญหาที่เหมาะสมแต่รวมถึงผลลัพธ์ที่คาดหวังด้วย ทำให้แน่ใจว่าการกระทำเหล่านี้จะไม่ทำลายพืชผล สิ่งสำคัญที่สุดคือพวกเขาสามารถใช้ข้อมูลตามเวลาจริงเพื่อให้แน่ใจว่าความเสียหายมีน้อยที่สุด

ขอบเขตของ Big Data กำลังผลักดันในภาคเกษตรกรรม การวิเคราะห์ Big Data และ Machine Learning มีบทบาทอย่างมากในการทำนายความซับซ้อนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิต ในที่สุด   Big Data จะเติบโตในอนาคตและนำความก้าวหน้าและระบบอัตโนมัติมาสู่การทำฟาร์มอัจฉริยะ

ข่าวเทคโนโลยีดิจิทัลล่าสุด ข่าวเทคโนโลยี มือถือ ข่าวเทคโนโลยีทั่วโลก