หลังจากใช้เวลาหลายทศวรรษในการสร้าง กล้องโทรทรรศน์อวกาศ (Space Telescope) ชื่อ James Webb ซึ่งเป็นกล้องเฝ้าสังเกตในอวกาศของนาซ่าในทศวรรษหน้า ประสบความสำเร็จในการส่งขึ้นสู่อวกาศเมื่อเช้าวันคริสต์มาสที่ผ่านมา
กล้องโทรทรรศน์ถูกส่งขึ้นโดยจรวด Ariane 5 จาก Spaceport ของยุโรปใน French Guiana เวลา 07:20 น.
กล้องโทรทรรศน์ James Webb เป็นกล้องโทรทรรศน์ที่ทรงพลังและซับซ้อนที่สุดในโลกและจะให้คำตอบเกี่ยวกับระบบสุริยะของเรา ศึกษาดาวเคราะห์นอกระบบในรูปแบบใหม่ และมองลึกเข้าไปในจักรวาลมากกว่าที่เราเคยทำมา
James Webb จะสำรวจชั้นบรรยากาศของดาวเคราะห์นอกระบบ ซึ่งบางส่วนเราอาจพบที่อยู่อาศัย และสามารถเปิดเผยหลักฐานในการค้นหาสิ่งมีชีวิตนอกโลก
กล้องโทรทรรศน์จะมาพร้อมกับกระจกที่สามารถขยายได้ 21 ฟุต 4 นิ้ว ซึ่งช่วยให้กระจกเก็บแสงได้มากที่สุดได้เมื่อกล้องโทรทรรศน์อยู่ในอวกาศ ยิ่งกระจกเก็บแสงได้มากเท่าไร กล้องโทรทรรศน์ก็จะยิ่งมองเห็นรายละเอียดมากขึ้นเท่านั้น
กระจกนั้นประกอบด้วยส่วนที่เคลือบทองหกเหลี่ยม 18 ชิ้น แต่ละส่วนมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 4.3 ฟุต เป็นกระจกที่ใหญ่ที่สุดที่ NASA เคยสร้างขึ้น ทีมงานของ NASA ได้ออกแบบกล้องโทรทรรศน์ให้เป็นชุดของชิ้นส่วนซึ่งสามารถพับแบบโอริกามิและใส่ลงในพื้นที่ขนาด 16 ฟุตให้ใส่เข้าไปในจรวดได้
NASA แจ้งว่า James Webb จะทำหน้าที่ตรวจจับอินฟราเรด ตรวจจับแสงที่เรามองไม่เห็นและเผยให้เห็นพื้นที่ที่ซ่อนอยู่ในอวกาศ
ตั้งแต่ปี 2004 นักวิทยาศาสตร์ ช่างเทคนิค และวิศวกรนับพันคนจาก 14 ประเทศ ได้ร่วมกันสร้างกล้องโทรทรรศน์นี้ รวมถึงเครื่องมือจากองค์การอวกาศแคนาดาและองค์การอวกาศยุโรป
ตอนนี้ James Webb พร้อมแล้วที่จะช่วยให้เราเข้าใจต้นกำเนิดของจักรวาล และให้คำตอบสำคัญเกี่ยวกับการดำรงอยู่ของเรา เช่น เรามาจากไหน และเราอยู่ตามลำพังในจักรวาลหรือไม่
สิ่งที่ James Webb จะมองเห็น
James Webb จะพิจารณาทุกขั้นตอนของประวัติศาสตร์จักรวาล รวมถึงการเรืองแสงครั้งแรกหลังจากที่ Big Bang ได้สร้างจักรวาลของเรา และการก่อตัวของกาแล็กซี ดวงดาว และดาวเคราะห์ทั้งหมดในปัจจุบัน ความสามารถของมันจะช่วยให้เราสามารถตอบคำถามเกี่ยวกับระบบสุริยะของเราเองที่ก่อตัวขึ้นเมื่อ 13.5 พันล้านปีก่อน
กล้องโทรทรรศน์นี้จะพิจารณาดาวเคราะห์นอกระบบอย่างละเอียด และช่วยตอบคำถามว่าดาวเคราะห์ก่อตัวขึ้นและมีวิวัฒนาการอย่างไร และรวบรวมข้อมูลว่ามีก๊าซใดอยู่ในชั้นบรรยากาศ สิ่งเหล่านี้สามารถเผยให้เห็นองค์ประกอบของชีวิตได้
จะมีการสังเกตหลุมดำมวลมหาศาลที่ใจกลางทางช้างเผือก การสร้างระบบดาวเคราะห์ Quasar ที่ใจกลางกาแลคซี่ และเศษซากจากการก่อตัวของระบบสุริยะของเราที่เรียกว่าวัตถุ Kuiper Belt
James Webb ทำอะไรได้บ้าง
James Webb มีความสามารถขั้นสูงสุดทางวิศวกรรม ตั้งแต่คือ Integrated Science Instrument Module ซึ่งมีชุดเครื่องมือสี่ชุดที่ใช้ถ่ายภาพหรือ Spectroscopy โดยแบ่งแสงออกเป็นความยาวคลื่นต่างๆ เพื่อกำหนดองค์ประกอบทางกายภาพและทางเคมี
ส่วนหลักของกล้องที่เรียกว่า Optical Telescope Element ประกอบด้วยกระจกและ Backplane ที่รองรับกระจก และยานอวกาศ Spacecraft Bus และ แผงบังแสงอาทิตย์ (Sunshield)
Spacecraft Bus ประกอบด้วยระบบขับเคลื่อน, พลังงานไฟฟ้า, การสื่อสาร ข้อมูล และการควบคุมความร้อน
แผงบังแสงอาทิตย์ห้าชั้นจะกางออกและจะปกป้องกระจกและเครื่องมือของ James Webb จากความร้อนของดวงอาทิตย์ โดยต้องเก็บไว้ที่อุณหภูมิลบ 188 องศาเซลเซียส
James Webb จะใช้เวลาเดินทาง 1 เดือนจนถึงวงโคจรห่างจากโลกประมาณ 1 ล้านไมล์ และจะทำการคลี่กระจกและที่บังแดดออก กระบวนการนี้ชิ้นส่วนนับพันต้องทำงานได้อย่างสมบูรณ์ในลำดับที่ถูกต้อง
จากนั้นจะเข้าสู่ช่วงทดลองงานในอวกาศเป็นเวลาหกเดือน ซึ่งรวมถึงการจัดตำแหน่ง (Alignment) และการสอบเทียบ (Calibration) และจะเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบการทำงาน
James Webb จะมีลำดับการทำงานที่ยากและซับซ้อนที่สุดเท่าที่เคยมีมาในอวกาศและจะเริ่มรวบรวมข้อมูลและภาพถ่ายแรกในปี 2022 ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกสามารถสังเกตเป้าหมายเฉพาะด้วยหอดูดาวอวกาศที่ยิ่งใหญ่ของ NASA นี้
#James Webb #ข่าวเทคโนโลยีดิจิทัลล่าสุด #ข่าวเทคโนโลยี